บทแปล in progress - "เสียงหัวเราะของเมดูซา" เอแลน ซิซู

เสียงหัวเราะแห่งเมดูซา


  ฉันจะกล่าวถึงการเขียนแห่งผู้หญิง ถึงสิ่งที่การเขียนนี้จะทำ ผู้หญิงจำเป็นต้องเขียน ต้องเขียนถึงผู้หญิงและชักนำผู้หญิงทั้งหลายเข้ามาสู่การเขียน ที่ซึ่งพวกเธอได้ถูกกีดกันออกไปด้วยความรุนแรง เป็นความรุนแรงเดียวกับที่พวกเธอถูกกีดกันออกไปจากร่างกายของพวกเธอเอง ด้วยเหตุผลเดียวกัน ด้วยกฎเกณฑ์เดียวกัน ด้วยจุดประสงค์ที่เด็ดขาดเช่นเดียวกัน ผู้หญิงต้องใส่ร่างกายตนเองเข้าไปในตัวบท
 เช่นเดียวกับที่ต้องทำในโลกและในประวัติศาสตร์ ด้วยจังหวะการเคลื่อนไหวของตนเอง
อดีตจะต้องไม่เป็นตัวกำหนดอนาคตอีกต่อไป ฉันไม่อาจปฏิเสธได้ว่าผลของอดีตยังคงมีอยู่ แต่ฉันปฏิเสธที่จะทำให้อดีตเข้มแข็งขึ้นด้วยการย้ำสิ่งเดิม ฉันปฏิเสธที่จะให้ความคงทนถาวรไม่เปลี่ยนแปลงดังเช่นโชคชะตาแก่อดีต ฉันปฏิเสธที่จะผสมเรื่องทางกายภาพเข้ากับเรื่องทางวัฒนธรรม การมองไปข้างหน้าคือสิ่งที่เร่งด่วนที่สุด
แน่นอนว่าข้อคิดคำนึงเหล่านี้มีตราประทับของยุคเปลี่ยนผ่านซึ่งเรากำลังใช้ชีวิตอยู่ ยุคซึ่งสิ่งใหม่แยกตัวออกมาจากสิ่งเก่า หรือหากจะกล่าวอย่างตรงประเด็นมากกว่า สิ่งใหม่หญิงแยกตัวออกจากสิ่งเก่าชาย เพราะข้อคิดคำนึงเหล่านี้กำลังก้าวไปข้างหน้า ในท่ามกลางพื้นที่ที่กำลังจะได้รับการค้นพบ  ด้วยเหตุนี้เอง และเนื่องด้วยว่าไม่มีสถานที่ใดที่คำประกาศนี้จะสามารถถือเป็นแหล่งกำเนิดได้ นอกเสียจากผืนดินเก่าแก่และแห้งแล้งแตกระแหง สิ่งที่ฉันพูดนี้จึงมีสองด้านและจุดมุ่งหมายสองอย่าง คือทำลายและทำให้พังพินาศ คาดการณ์ถึงสิ่งที่ไม่ได้ถูกคาดการณ์และมองไปยังเบื้องหน้า
ฉันจึงเขียนสิ่งนี้ ในฐานะผู้หญิง ถึงผู้หญิงทั้งหลาย  ยามฉันกล่าว “ผู้หญิง” ชั้นกำลังพูดถึงผู้หญิงที่ต่อสู้กับผู้ชายตามแบบแผนจารีต และถึงผู้หญิงในฐานะอัตบุคคลที่มีความเป็นสากล ผู้ซึ่งต้องชักนำผู้หญิงด้วยกันสู่การให้ความหมายแก่ผู้หญิง/เส้นทางและสู่ประวัติศาสตร์ของผู้หญิงเอง  อย่างไรก็ตาม ก่อนอื่นเลย เราจำเป็นต้องพูดว่า ณ วันนี้เอง ไม่มีผู้หญิงหนึ่งเดียว ผู้หญิงที่เป็นฉบับ แม้ว่าจะมีความพยายามอันยิ่งใหญ่ที่จะกดทับและต้อนให้พวกอยู่ใน “ความมืด” ซึ่งเขาทั้งหลายพยายามทำให้เธอยอมรับว่ามันคือลักษณะของพวกเธอ  ฉันจะได้พูดถึงสิ่งที่พวกเธอ “มีร่วมกัน” ต่อไป  แต่สิ่งที่ตรึงใจฉันก็คือความรุ่มรวยอันไร้ขอบเขตของคุณลัษณะเฉพาะของพวกเธอ เราไม่สามารถกล่าวถึงเพศวิถีของอิสตรีหนึ่งเดียว อันเป็นเอกรูป มีความเป็นเนื้อเดียว มีเส้นทางเดียวอันคาดเดาได้ เช่นเดียวกับที่ไม่สามารถกล่าวได้ว่ามีจิตไร้สำนึกหนึ่งเดียวเหมือนกัน จินตภาพของผู้หญิงไม่มีวันหมด เช่นเดียวกับดนตรี ภาพเขียน การประพันธ์ ภาพจินตนาการของเธอถั่งโถมได้อย่างน่าประหลาดใจ มากกว่าหนึ่งหนที่ฉันอัศจรรย์ใจกับสิ่งที่ผู้หญิงบรรยายให้ฉันฟังถึงโลกที่เธอสร้างขึ้นเพื่อตัวเธอเองอย่างลับๆตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ โลกแห่งการค้นหา โลกแห่งการก่อร่างองค์ความรู้จากการทดลองโดยอัตโนมัติกับกลไกการทำงานของร่างกาย โลกแห่งการตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมาและอย่างกระตือรือร้นต่ออารมณ์เร้าทางเพศ  ด้วยความรุ่มรวยแห่งการสรรค์สร้างอย่างมหัศจรรย์ กิจกรรมนี้ โดยเฉพาะการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองนั้น ดำเนินไปหรือขนาบข้างไปกับการรังสรรค์ รูปสัญฐาน เป็นกิจการเชิงสุนทรียศาสตร์อันแท้จริง แต่ละห้วงเวลาแห่งความหฤหรรษ์ได้จารึกมโนภาพแห่งเสียง นับเป็น การรจเรข อย่างหนึ่ง เป็นสิ่งที่สวยงาม ความงามจะต้องไม่เป็นสิ่งต้องห้ามอีกต่อไป ฉันจึงประสงค์ให้ผู้หญิงได้เขียนและประกาศก้องถึงอาณาเขตอันเป็นเอกลักษณ์นี้  และเพื่อให้ผู้หญิงคนอื่นๆ หญิงเหนือหัวคนอื่นๆที่ยังเขินอายได้ตะโกนประกาศก้องออกมาบ้าง ฉันจึงต้องลงมือรจนาด้วยตนเองเช่นกัน ความปรารถนาของฉันได้สรรค์สร้างความปราราถนาอื่นตามมา ร่างกายของฉันได้รู้จักกับทำนองเพลงที่ไม่มีใครได้ยิน ฉันเองก็เช่นกัน นับครั้งไม่ถ้วนที่ได้เคยสัมผัสกับความรู้สึกล้นเต็มจนแทบจะระเบิด จากการถาโถมของกระแสธารอันเจิดจรัส ของรูปสัญฐานที่งดงามยิ่งกว่ารูปสัณฐานใดๆที่ถูกนำมาใส่กรอบขายแลกเศษสตางค์ และฉันเองก็เช่นกัน ฉันไม่ได้เอิ่นเอ่ยถึงมัน ฉันไม่ได้นำมันออกมาแสดง ฉันไม่ได้ปริปากพูด ฉันไม่ได้ระบายสีให้กับโลกอีกครึ่งหนึ่งของฉันเอง เพราะฉันรู้สึกผิด ฉันกลัวและฉันก็ขยอกกลืนความละอายและความกลัวของตนเอง ฉันบอกกับตัวเองว่า “แกมันบ้าไปแล้ว!”  ภาวะพุ่งพล่าน ท่วมทะลัก ลอยล่องเหล่านี้คืออะไรกันหนอ? มีผู้หญิงคนใดบ้างเล่าซึ่งเคยเดือดพล่านและสัมผัสกับภาวะไร้จุดสิ้นสุดแล้วจะไม่เคย ละอายใจกับพลังอำนาจนี้ของตนเอง ในขณะที่เธอนั้นถูกกดข่มให้อยู่ในความไร้เดียงสาของเธอ ถูกอำนาจแห่งสถาบันบุพการี อำนาจแห่งสถาบันสมรสและอำนาจแห่งภาวะลึงค์และภาษาเป็นศูนย์กลางเหนี่ยวรั้งขืนใจไว้ในความมืดบอดและการดูหมิ่นตนเอง ? มีผู้หญิงคนใดบ้างเล่าจะไม่ถูกประฌามว่าเป็นปีศาจร้าย ในขณะที่เธอนั้นประหลาดใจและตกใจกลัวกับความไร้ระเบียบที่เต็มไปด้วยจินตนาการจากแรงขับเคลื่อนของตนเอง (เพราะพวกเธอถูกทำให้เชื่อว่ากุลสตรีอันเป็นปกติคือผู้หญิงที่นิ่งเฉย... แบบเทพเจ้า) ? มีผู้หญิงคนใดบ้างเล่าที่ทันทีที่รู้สึกถึงความปั่นป่วนจากความต้องการอันแสนจะประหลาด (ที่จะขับร้อง ขีดเขียน ปริปากพูด สิ่งเหล่านี้ล้วนคือความต้องการที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่) จะไม่ทึกทักเอาว่าตนเองป่วย ? แท้จริงนั้น โรคร้ายอันน่าละอายของเธอคือการที่เธอต่อต้านขัดขืนความตาย คือการที่เธอทำให้เกิดความลำบากยุ่งยาก
หากเป็นเช่นนั้น ทำไมเธอจึงไม่เขียนมันออกมาเล่า? จงเขียน ! การประพันธ์เป็นของเธอ เธอเป็นของเธอเอง ร่างกายของเธอเป็นของเธอ จงคว้ามันไว้ ฉันเข้าใจดีว่าทำไมเธอจึงไม่เขียน (และเพราะอะไรฉันเองไม่หยิบปากกาขึ้นมาก่อนอายุยี่สิบเจ็ดปี) เพราะว่าการประพันธ์เป็นทั้งเรื่องที่สูงส่งและเรื่องที่ยิ่งใหญ่เกินไปสำหรับเธอ การประพันธ์เป็นเรื่องของผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น หมายถึง “รัฐ-บุรุษ” นี่เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระทั้งเพ แท้จริงแล้ว เธอเองก็เคยขีดเขียนมาบ้าง อย่างลับๆ และนี่ไม่ได้เป็นเรื่องดีเลย แต่เพราะการเขียนของเธอเกิดขึ้นอย่างลับๆ และเพราะเธอลงโทษตัวเธอเองเพราะเธอเขียน เพราะเธอไม่ทำให้ถึงที่สุด หรือไม่ก็เพราะเธอห้ามตนเองไม่ให้เขียนไม่ได้ เหมือนกับที่เธอสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองอย่างลับๆ ไม่ใช่เพื่อจะไปให้ไกลกว่าเดิม แต่เพื่อลดทอนความตึงเครียดลง ให้มันลดลงบ้างเพื่อที่ว่าสิ่งที่ล้นเกินจะได้หยุดทรมานเธอ

บทแปล in progress "สังคมมหรสพ" - กี เดอบอร์ 2510 (La société du spectacle - Guy Debord 1967)

I. เมื่อการแบ่งแยกสิ้นสุด

1 ในสังคมที่ซึ่งเงื่อนไขการผลิตแบบสมัยใหม่เป็นผู้ปกครอง ชีวิตทั้งหลายปรากฏตัวดังการทับถมอันมหาศาลของมหรสพ  ประสบการณ์การใช้ชีวิตทางตรงได้ถอยห่างออกไปภายใต้ร่มเงาของการเสนอภาพแทน

2 ภาพซึ่งแยกแตกออกมาจากแง่มุมแต่ละแง่มุมของชีวิตผสานรวมในกระแสกลางของความเป็นไป ภายในกระแสนี้ ความเป็นเอกภาพของชีวิตเลือนหายไป ความจริงซึุ่งถูกนำมาพิจารณาเพียงบางส่วน คลี่ตัวออกในความเป็นเอกภาพของมั ในนามของโลกเสมือนซึ่งเป็นเอกเทศ กลายมาเป็นวัตถุแห่งการเพ่งพินิจ ภาพของโลกได้ถูกทำให้มีความเฉพาะทางในโลกของภาพซึ่งมีความเป็นเอกเทศ ที่ซึ่งนักต้มตุ๋มหลอกตัวเอง  โดยลักษณะทั่วไป มหรสพเป็นการเคลื่อนไหวเอกเทศของสิ่งซึ่งไร้ชีวิต เป็นดังการพลิกกลับที่เป็นรูปเป็นร่างของชีวิต

ชวน "ฟินหมู่" กับ "FIN" the fetishism story การแสดงสื่อผสมว่าด้วยเพศ เซ็กส์และมนุษย์

ในท่ามกลางสังคมไทยร่วมสมัยที่ "ความบันเทิง" มีความหมายเท่ากับ "การพักผ่อน" ละครเวที (และละครเพลงทั้งหลาย) ที่มีโปรดักชั่นขนาดใหญ่ได้ผูกขาดพื้นที่สาธารณะ ทั้งพื้นที่เชิงกายภาพ ผ่านโรงละครขนาดใหญ่ทั่วมุมเมือง และพื้นที่การสื่อสารมวลชน ด้วยการโฆษณาโปรโมตตามสื่อต่างๆ ทั้งสื่อเก่าและสื่อใหม่จินตนาการร่วมของคนไทยส่วนใหญ่เกี่ยวกับ "ละครเวที" จึงมักจะมีความหมายจำกัดในเชิงมโหรสพ mass product ที่ใช้แสง สี เสียงและเทคนิคแพรวพราวเพื่อการพักผ่อนสำเร็จรูปแต่เพียงถ่ายเดียว



ทว่า เพื่อต้านกับกระแสจักรวรรดินิยมทางสุนทรียะนี้ ละครเวทีที่มีชื่อเรียก (ยัง) ไม่ลงตัว (เสียที) ว่า "ละครอิสระ ทางเลือกหรือนอกกระแส" จึงเกิดขึ้นในแนวคู่ขนานเสมอมา โดยกลุ่มคนทำละครอิสระที่มีความหลากหลายในสไตล์ แนวคิดและการนำเสนอ ตั้งแต่แนวชุมชนนิยม แนวทดลอง แนวผสมผสานตะวันตก/ตะวันออก ล่าสุดไปจนถึง "การแสดง" (performance) ที่ผสมหลากหลายสื่อและเทคนิค หมิ่นเหม่เส้นแบ่งระหว่างละครพูด นาฏศิลป์และทัศนศิลป์  (ความไม่ชัดเจนในการจัดประเภทของการแสดงประเภทนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงต่อไป อย่างไรก็ดี สังคมไทยจัดตำแหน่งแห่งที่ของกลุ่มคนที่ทำงาน "การแสดง" ประเภทนี้เข้าในหมวดหมู่ของ "คนทำละคร")


ปรากฎการณ์การทำลายเส้นแบ่งของการจัด "ประเภท" (genre) ศิลปะการแสดงตามขนบ ที่กระทำภายในพื้นที่นามธรรมที่เปิดกว้างของ "เวทีละคร" นี้ดูจะเป็นความพยายามปรับมุม "การตั้งคำถาม" หรืออย่างน้อยที่สุด ก็เป็นความพยายามเข้าไปปะทะกับการแบ่งแยกและเขตพรมแดน และทดลองสำรวจความเป็นไปได้ใหม่ๆในการ "สื่อ"​  ซึ่งเทคโนโลยีและรสนิยมการเสพ "ศิลปะ" ของสังคมร่วมสมัยได้เปิดพื้นที่ขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจนักหากว่า "ละครสื่อผสม" นี้จะได้กลายมาเป็น "บรรทัดฐาน" (norm) ล่าสุดของนักละครไทยนอกกระแสในยุคปัจจุบัน (ที่ประสบความสำเร็จมากน้อยต่างกันไป) ในภาวะของสังคมยุคเปลี่ยนผ่านที่ความขัดแย้งรุนแรงและกินวงกว้างยิ่งกว่ายุคใดสมัยใดในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางศีลธรรม ทางการเมือง หรือแม้กระทั่งความขัดแย้งเชิงสุนทรียรสภายในพื้นที่ของศิลปะเองก็ตาม




"FIN" the fetishism story ซึ่งกำลังแสดงอยู่ที่ Democrazy Theatre Studio โรงละครอินดี้เล็กๆ ย่านลุมพินี เป็นละคร/การแสดงสื่อผสมของกลุ่มผู้สร้าง"Silent Scream : journey to the dream of murderer" (2009) นำทีมและกำกับการแสดงโดยวสุรัชต อุณาพรหม

ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องสั้น "เด็กหนุ่มผู้ตกหลุมรักส้นสูงของแม่" ของโตมร ศุขปรีชา "FIN" เป็นเรื่องราวของตัวละคร 4 คน ประกอบด้วย 1. เด็กหนุ่มเนิร์ด (ที่ความเป็นตัวตนลักลั่นระหว่างความเป็น "เด็กชาย" กับความเป็น "ชายหนุ่ม") 2. ผู้หญิงหลากมิติ (ที่แสดงออกแบบ liberal แต่โหยหาบางอย่างที่ขาดหายไป) 3. บ.ก.แฟนชั่นหญิงสุดแกร่ง (ซึ่งเป็นอวตารของเฟมินิสต์ยุคเหยียดเพศชาย อึดอัด กดทับและแตกร้าว) และ 4. ชายหนุ่มแมนเกินร้อย (ที่พยายามแสดงตัวเป็นผู้ชาย macho แต่หวาดกลัวและหวาดหวั่น)

เรื่องราวการเดินทางที่ไขว้ทับของพวกเขาเกิดขึ้นภายใต้ฉากและในบรรยากาศของสังคมเมืองร่วมสมัย ผ่านบทพูดสลับกับการเคลื่อนไหว (movement) โดยมีวีดีโอภาพเคลื่อนไหวใหญ่มหึมาเป็นฉากหลัง (ประกอบด้วย Motion graphic และ Animation) ซึ่งทำหน้าที่ บางครั้งเป็นกระจกสะท้อน บางครั้งเป็น "ผู้เล่าเรื่อง" บางครั้งเสริมเรื่องเล่าเพื่อถ่วงดุลกับอารมณ์ ความรู้สึกและแรงปรารถนาของตัวละคร

"FIN" หรือ "ฟิน" เป็นศัพท์สแลงที่แพร่หลายและเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นกลางไทยในปัจจุบัน สันนิษฐานว่ามาจากศัพท์ภาษาฝรั่งเศสของวงการภาพยนตร์ "la fin" (เป็นคำนามหมายถึง "จุดจบ" "ตอนจบ") ซึ่งเป็นคำที่ปรากฎขึ้นบนจอหลังจากที่เรื่องราวในภาพยนตร์จบลง ในวงการภาพยนตร์ไทย นิยมใช้คำนี้ในความหมายว่า ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งเมื่อดูจบแล้วทำให้เรามีความสุขมาก หรือสนองตอบต่อรสนิยมการเสพภาพยนตร์ของเรา เป็นอารมณ์ที่เทียบเคียงกับการถึงจุดสุดยอด เช่น "หนังเรื่องนี้ดูแล้วฟินมาก"  ต่อมา คำนี้ได้ถูกใช้ในความหมายกว้าง คือ หมายถึง การที่สิ่งหนึ่งทำให้เรามีความสุขสูงสุดเทียบเคียงกับการถึงจุดสุดยอด เช่น "ดาราคนนี้เห็นหน้าแล้วฟินมาก" 

เห็นได้ชัดว่า "ฟิน" ไม่ว่าจะในกรณีใดล้วนมีนัยยะของการตอบสนองต่อแรงปรารถนาทางเพศ หรือ "การบรรลุถึงจุดสุดยอด" ในกิจกรรมทางเพศทั้งสิ้น และในความหมายตรงตัว (แบบ contemporary Thai) นี้เองที่เราอาจจะต้อง "อ่าน" ชื่อของการแสดงสื่อผสมชุดนี้

"FIN" the fetichism story คือเรื่องราวของการปลดปล่อย "แรงปรารถนาที่เหนือการควบคุม สัณชาตญาณที่ถูกเก็บซ่อนไว้" ตามคำเปรยในโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์

เริ่มต้นด้วย "เสียง" ที่เล่านิทานก่อนนอนชวนฝันว่าด้วยเจ้าหญิง เจ้าชาย ปราสาท รองเท้าส้นสูงสีแดง โดยมีภาพเคลื่อนไหวของ "ปากสีแดง" ประกอบคู่กันไป  เรื่องจบลงด้วยปริศนาของ "ประตู" และ "รองเท้าส้นสูงสีแดงที่เปื้อนคราบ" (หรือเมือกอะไรซักอย่าง)

ปาก ประตูและคราบเมือกทำให้เราเข้าใจได้ไม่ยากว่า "เสียง" ของ "ปากสีแดง" นี้กำลังชักชวนเราเข้าสู่จินตภาพว่าด้วยเรื่องเซ็กส์ ผ่านการร่ายมนต์เรียก "fetich" (สิ่งของหรืออวัยวะของร่างกายที่ทำให้เกิดอารมณ์ปรารถนาทางเพศ) ให้ปรากฎร่างเบื้องหน้าผู้ชม ตรงตามคำมั่นสัญญาที่ปรากฎในชื่อรองของการแสดงชุดนี้ "the fetichism story" และตลอดทั้งเรื่อง เราจะได้เห็น "สิ่งของเฟทิช" ต่างๆที่ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ "ตัวตน" ของตัวละครแต่ละคน ในโลกที่ความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันถูกฉาบเคลือบจนหนาเตอะ และสิ่งของได้กลายมาเป็นที่พึ่งทางใจและทางจิตวิญญาณ

ตลอดทั้งเรื่อง เราจะได้เห็นรูปแบบของความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครที่อยู่บนฐานของ "แรงขับเคลื่อน"  ซึ่งแสดงออกมาในรูปของ "ความรุนแรง" และ "ความหวาดระแวง"  ความขัดแย้งในความเป็นตัวตนภายในของทุกตัวละครถูกถ่ายทอดออกมาพร้อมๆ กับความขัดแย้งระหว่างตัวละครอันเต็มไปด้วยสีสันที่เข้มข้น บ้างขบขัน บ้างหงอยเหงา บ้างชวนให้ขนหัวลุก

"ฉากเริงระบำกับบันนี่กระต่ายน้อย" เป็นฉากที่ "ฟิน" สุดๆ เพราะเป็นฉาก climax ของการแสดงชุดนี้ ตัวละครเด็กหนุ่มเนิร์ดเคลื่อนไหวราวกับกำลังเสพสังวาสกับสาวบันนี่รองเท้าส้นสูงสีแดง (ซึ่งคือภาพแทนของ "เฟทิช" ของชายนักรักทั้งหลายทั้งมวล) ส่วนเขาจะ "ฟิน" หรือไม่อย่างไรนั้น คงต้องลองไปพิสูจน์ "ความฟิน" กันเองบนเวทีละคร

เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่ต่างไปจากฉากอื่นอีกหลายฉาก ในฉาก climax นี้ซึ่งมีตัวละครเพียงสองตัว "แลกเปลี่ยน”" กัน จะต้องมีตัวละครอีกคนทำหน้าที่เป็น "ผู้ดู"  ผู้จดจ้อง ผู้สังเกตการณ์ ทำให้ฉาก duo แปรสภาพเป็นฉาก trio ผ่านการ "จ้องมอง" ของคนอื่นไปโดยปริยาย ราวกับว่า "แรงปรารถนาที่เหนือการควบคุม" หรือ "สัญชาตญาณที่ถูกเก็บซ่อนไว้" ไม่สามารถถูกปลดปล่อยได้อย่างแท้จริง หรือสามารถถูกปลดปล่อยได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การกำกับของ "สายตา" 

หรือ "สัญชาตญาณ" ที่เราเชื่อว่ามีอยู่จริง ในความเป็นจริงนั้นเป็นเพียงแค่ "มายาคติ" เพราะ "จิตใต้สำนึก" ของเราไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการของ "การอบรมเลี้ยงดู" หรือ "จารีตทางสังคม" ได้อย่างแท้จริง ?

หรือความสัมพันธ์ทางเพศไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมส่วนตัว แต่เป็นกิจกรรมทางสังคมที่ถูกกำกับและจับจ้องโดย "สายตา" ไม่ว่าจะเป็น "สายตา" ภายในตัวเราเอง หรือ "สายตา" ของสังคม ซึ่งแท้จริงแล้ว คือสิ่งเดียวกัน ?

หรือในสังคมไทยสมัยใหม่ ที่เรื่องเพศและเรื่องเซ็กซ์ถูกทำให้เป็นสิ่งน่ารังเกียจ (ที่พึงกระทำแต่ไม่พึงกล่าวถึง) ความพยายามก้าวข้ามเส้นแบ่งเขตทางศีลธรรมและจารีตของกลุ่มชนชั้นกลางไทยหัวก้าวหน้าจึงเป็นกระบวนการที่ทุรนทุรายและแทบจะเป็นไปไม่ได้ หากขาด "การตระหนักรู้" ถึงเครือข่ายโยงใยทางศีลธรรมที่สังคมใช้ควบคุมและกำกับ "จิตใต้สำนึก" ของเราอยู่อย่างแยบยล ? 
สายตา "รู้สึกผิด" ของเด็กหนุ่มเนิร์ดอาจกำลังสะท้อนความขัดแย้งเบื้องลึกที่ซับซ้อนนี้ของสังคมไทยร่วมสมัย !

"ฟิน" นำเสนอความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ผ่านมุมมองด้านเพศและเซ็กซ์ เพื่อสำรวจลักษณะของความสัมพันธ์นี้ ที่มีทั้งความรุนแรงและความอ่อนโยน ความเศร้าและความสุข ความละอายและความพึงพอใจ ความน่าขบขันและความเป็นโศกนาฏกรรม เพื่อตั้งคำถามที่กว้างกว่า นั่นคือคำถามว่าด้วยธรรมชาติของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์

อะไรคือความเป็นไปได้ของความสัมพันธ์ที่ระดับ "ศูนย์" คือ ระดับที่ไร้การเคลือบเงา ณ จุดที่เราเปราะบางที่สุด ณ จุดที่เราเปลือยเปล่าที่สุด ณ จุดที่ความรุนแรงไม่แตกต่างจากความอ่อนโยน ณ จุดที่เส้นแบ่งระหว่างความรักกับเซ็กส์เลือนลาง ?

แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ "เซ็กส์" ในการแสดงชุดนี้มีไว้เพียงแค่สำหรับเพศหญิงเพศชายเท่านั้น ไม่มีพื้นที่สำหรับคนรักร่วมเพศหรือคนไร้เพศหรือคนที่มีรสนิยมทางเพศเบี่ยงเบน (แม้จะมีฉากความหลงใหลของเด็กหนุ่มต่อรองเท้าส้นสูง แต่ก็ขาดความเชื่อมโยงกับตรรกะทั้งหมดของเรื่องและไม่มีความหมายใดต่อพัฒนาการของเรื่อง)

และเป็นที่น่าเสียดายที่ "la fin" หรือตอนจบของเรื่องมีกลิ่นอายโรแมนติกและมีความเป็น "ขนบ" ซึ่งลักลั่นกับภาพหลอน ภาพฝันและแฟนตาซีเซ็กส์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้าซึ่งได้ทำการสั่นคลอนความเชื่อและมายาคติเกี่ยวกับเรื่องเพศ

และนี่อาจจะเป็นอีกเส้นแบ่งพรมแดนที่ศิลปินไทยจำเป็นต้องก้าวข้ามผ่านไปให้ได้

อย่างไรก็ดี อาจถือได้ว่าการแสดงสื่อผสม "FIN" the fetichism story เป็นหนึ่งใน"ละครอิสระแห่งปี" ที่เรา เสรีชนผู้มีใจรักในศิลปะและเชื่อมั่นในอิสรภาพแห่งการแสดงออกควรต้องไปดู เพราะ "FIN" ตั้งคำถามกับ "ข้อจำกัด" ที่มีอยู่มากมายโยงกันเป็นใยแมงมุมที่หนาแน่นในสังคมไทย เพื่อลุกล้ำท้าทายบรรทัดฐานทั้งหลาย ไม่จำกัดอยู่เพียงแค่บรรทัดฐานทางศีลธรรม แต่หมายรวมถึงข้อจำกัดที่คับแคบของคำว่า"ศิลปะ" ของกระทรวงวัฒนธรรมและสังคมไทย

ดังนั้น การไปชม "FIN" the fetichism story จึงถือเป็นการประกาศก้องและตอกย้ำถึงเสรีภาพที่จะมี "ทางเลือก" ในการเสพงานศิลปะ, เป็น "การแสดงออกถึงรสนิยมทางสุนทรียะ" (aesthetic act) และ "การแสดงออกทางการเมือง" (political act) ในเวลาเดียวกัน เพราะนี่คืองานนอกกระแส ณ ชายขอบของพื้นที่ทางวัฒนธรรม ไร้เงินก้อนโตจากงบไทยเข้มแข็ง และมีเพียงความต้องการ "สื่อสาร" ของคณะผู้สร้างเท่านั้นที่ทำให้การมีอยู่ของมันเป็นจริงได้

จึงมีเพียงการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ "คณะผู้ชม" และการวิพากษ์วิจารณ์เท่านั้น ที่จะทำให้ "ศิลปะการละคร" ของคณะละครเวทีอิสระร่วมสมัยของไทยสามารถจะมีพัฒนาการได้อย่างต่อเนื่องและจริงจัง ทั้งในเชิงความคิดและเทคนิคการนำเสนอ และสามารถที่จะเอาตัวรอดในทางเศรษฐกิจท่ามกลางกระแสนิยมทุนได้

หมายเหตุ "FIN" the fetichism story จัดแสดงที่ Democrazy Theatre Studio ตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม ถึง 10 เมษายน 2554 เวลา 20.00 น. (เสาร์ อาทิตย์ เพิ่มรอบ 16.00) บัตรราคา 350 บาท
จองบัตรได้ที่ 
www.bananabooking.com หรือ โทร 081-1732097
ดูวีดีโอประชาสัมพันธ์ได้ที่ 
http://www.youtube.com/watch?v=YQu-CAcZFHI
หรือ Facebook event http://www.facebook.com/event.php?eid=176603429051662

ตีพิมพ์ครั้งแรกในมติชนออนไลน์ 2 เมษายน 2554 http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1301742766&grpid=no&catid=08

Travel Writings on Indochina

I've been collecting a collection of travel writings on Indochina at the fin de siècle: Morice Docteur, 'Voyage en Cochinchine',...