เสียงหัวเราะแห่งเมดูซา
ฉันจะกล่าวถึงการเขียนแห่งผู้หญิง ถึงสิ่งที่การเขียนนี้จะทำ ผู้หญิงจำเป็นต้องเขียน ต้องเขียนถึงผู้หญิงและชักนำผู้หญิงทั้งหลายเข้ามาสู่การเขียน ที่ซึ่งพวกเธอได้ถูกกีดกันออกไปด้วยความรุนแรง เป็นความรุนแรงเดียวกับที่พวกเธอถูกกีดกันออกไปจากร่างกายของพวกเธอเอง ด้วยเหตุผลเดียวกัน ด้วยกฎเกณฑ์เดียวกัน ด้วยจุดประสงค์ที่เด็ดขาดเช่นเดียวกัน ผู้หญิงต้องใส่ร่างกายตนเองเข้าไปในตัวบท
เช่นเดียวกับที่ต้องทำในโลกและในประวัติศาสตร์ ด้วยจังหวะการเคลื่อนไหวของตนเอง
อดีตจะต้องไม่เป็นตัวกำหนดอนาคตอีกต่อไป ฉันไม่อาจปฏิเสธได้ว่าผลของอดีตยังคงมีอยู่ แต่ฉันปฏิเสธที่จะทำให้อดีตเข้มแข็งขึ้นด้วยการย้ำสิ่งเดิม ฉันปฏิเสธที่จะให้ความคงทนถาวรไม่เปลี่ยนแปลงดังเช่นโชคชะตาแก่อดีต ฉันปฏิเสธที่จะผสมเรื่องทางกายภาพเข้ากับเรื่องทางวัฒนธรรม การมองไปข้างหน้าคือสิ่งที่เร่งด่วนที่สุด
แน่นอนว่าข้อคิดคำนึงเหล่านี้มีตราประทับของยุคเปลี่ยนผ่านซึ่งเรากำลังใช้ชีวิตอยู่ ยุคซึ่งสิ่งใหม่แยกตัวออกมาจากสิ่งเก่า หรือหากจะกล่าวอย่างตรงประเด็นมากกว่า สิ่งใหม่หญิงแยกตัวออกจากสิ่งเก่าชาย เพราะข้อคิดคำนึงเหล่านี้กำลังก้าวไปข้างหน้า ในท่ามกลางพื้นที่ที่กำลังจะได้รับการค้นพบ ด้วยเหตุนี้เอง และเนื่องด้วยว่าไม่มีสถานที่ใดที่คำประกาศนี้จะสามารถถือเป็นแหล่งกำเนิดได้ นอกเสียจากผืนดินเก่าแก่และแห้งแล้งแตกระแหง สิ่งที่ฉันพูดนี้จึงมีสองด้านและจุดมุ่งหมายสองอย่าง คือทำลายและทำให้พังพินาศ คาดการณ์ถึงสิ่งที่ไม่ได้ถูกคาดการณ์และมองไปยังเบื้องหน้า
ฉันจึงเขียนสิ่งนี้ ในฐานะผู้หญิง ถึงผู้หญิงทั้งหลาย ยามฉันกล่าว “ผู้หญิง” ชั้นกำลังพูดถึงผู้หญิงที่ต่อสู้กับผู้ชายตามแบบแผนจารีต และถึงผู้หญิงในฐานะอัตบุคคลที่มีความเป็นสากล ผู้ซึ่งต้องชักนำผู้หญิงด้วยกันสู่การให้ความหมายแก่ผู้หญิง/เส้นทางและสู่ประวัติศาสตร์ของผู้หญิงเอง อย่างไรก็ตาม ก่อนอื่นเลย เราจำเป็นต้องพูดว่า ณ วันนี้เอง ไม่มีผู้หญิงหนึ่งเดียว ผู้หญิงที่เป็นฉบับ แม้ว่าจะมีความพยายามอันยิ่งใหญ่ที่จะกดทับและต้อนให้พวกอยู่ใน “ความมืด” ซึ่งเขาทั้งหลายพยายามทำให้เธอยอมรับว่ามันคือลักษณะของพวกเธอ ฉันจะได้พูดถึงสิ่งที่พวกเธอ “มีร่วมกัน” ต่อไป แต่สิ่งที่ตรึงใจฉันก็คือความรุ่มรวยอันไร้ขอบเขตของคุณลัษณะเฉพาะของพวกเธอ เราไม่สามารถกล่าวถึงเพศวิถีของอิสตรีหนึ่งเดียว อันเป็นเอกรูป มีความเป็นเนื้อเดียว มีเส้นทางเดียวอันคาดเดาได้ เช่นเดียวกับที่ไม่สามารถกล่าวได้ว่ามีจิตไร้สำนึกหนึ่งเดียวเหมือนกัน จินตภาพของผู้หญิงไม่มีวันหมด เช่นเดียวกับดนตรี ภาพเขียน การประพันธ์ ภาพจินตนาการของเธอถั่งโถมได้อย่างน่าประหลาดใจ มากกว่าหนึ่งหนที่ฉันอัศจรรย์ใจกับสิ่งที่ผู้หญิงบรรยายให้ฉันฟังถึงโลกที่เธอสร้างขึ้นเพื่อตัวเธอเองอย่างลับๆตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ โลกแห่งการค้นหา โลกแห่งการก่อร่างองค์ความรู้จากการทดลองโดยอัตโนมัติกับกลไกการทำงานของร่างกาย โลกแห่งการตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมาและอย่างกระตือรือร้นต่ออารมณ์เร้าทางเพศ ด้วยความรุ่มรวยแห่งการสรรค์สร้างอย่างมหัศจรรย์ กิจกรรมนี้ โดยเฉพาะการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองนั้น ดำเนินไปหรือขนาบข้างไปกับการรังสรรค์ รูปสัญฐาน เป็นกิจการเชิงสุนทรียศาสตร์อันแท้จริง แต่ละห้วงเวลาแห่งความหฤหรรษ์ได้จารึกมโนภาพแห่งเสียง นับเป็น การรจเรข อย่างหนึ่ง เป็นสิ่งที่สวยงาม ความงามจะต้องไม่เป็นสิ่งต้องห้ามอีกต่อไป ฉันจึงประสงค์ให้ผู้หญิงได้เขียนและประกาศก้องถึงอาณาเขตอันเป็นเอกลักษณ์นี้ และเพื่อให้ผู้หญิงคนอื่นๆ หญิงเหนือหัวคนอื่นๆที่ยังเขินอายได้ตะโกนประกาศก้องออกมาบ้าง ฉันจึงต้องลงมือรจนาด้วยตนเองเช่นกัน ความปรารถนาของฉันได้สรรค์สร้างความปราราถนาอื่นตามมา ร่างกายของฉันได้รู้จักกับทำนองเพลงที่ไม่มีใครได้ยิน ฉันเองก็เช่นกัน นับครั้งไม่ถ้วนที่ได้เคยสัมผัสกับความรู้สึกล้นเต็มจนแทบจะระเบิด จากการถาโถมของกระแสธารอันเจิดจรัส ของรูปสัญฐานที่งดงามยิ่งกว่ารูปสัณฐานใดๆที่ถูกนำมาใส่กรอบขายแลกเศษสตางค์ และฉันเองก็เช่นกัน ฉันไม่ได้เอิ่นเอ่ยถึงมัน ฉันไม่ได้นำมันออกมาแสดง ฉันไม่ได้ปริปากพูด ฉันไม่ได้ระบายสีให้กับโลกอีกครึ่งหนึ่งของฉันเอง เพราะฉันรู้สึกผิด ฉันกลัวและฉันก็ขยอกกลืนความละอายและความกลัวของตนเอง ฉันบอกกับตัวเองว่า “แกมันบ้าไปแล้ว!” ภาวะพุ่งพล่าน ท่วมทะลัก ลอยล่องเหล่านี้คืออะไรกันหนอ? มีผู้หญิงคนใดบ้างเล่าซึ่งเคยเดือดพล่านและสัมผัสกับภาวะไร้จุดสิ้นสุดแล้วจะไม่เคย ละอายใจกับพลังอำนาจนี้ของตนเอง ในขณะที่เธอนั้นถูกกดข่มให้อยู่ในความไร้เดียงสาของเธอ ถูกอำนาจแห่งสถาบันบุพการี อำนาจแห่งสถาบันสมรสและอำนาจแห่งภาวะลึงค์และภาษาเป็นศูนย์กลางเหนี่ยวรั้งขืนใจไว้ในความมืดบอดและการดูหมิ่นตนเอง ? มีผู้หญิงคนใดบ้างเล่าจะไม่ถูกประฌามว่าเป็นปีศาจร้าย ในขณะที่เธอนั้นประหลาดใจและตกใจกลัวกับความไร้ระเบียบที่เต็มไปด้วยจินตนาการจากแรงขับเคลื่อนของตนเอง (เพราะพวกเธอถูกทำให้เชื่อว่ากุลสตรีอันเป็นปกติคือผู้หญิงที่นิ่งเฉย... แบบเทพเจ้า) ? มีผู้หญิงคนใดบ้างเล่าที่ทันทีที่รู้สึกถึงความปั่นป่วนจากความต้องการอันแสนจะประหลาด (ที่จะขับร้อง ขีดเขียน ปริปากพูด สิ่งเหล่านี้ล้วนคือความต้องการที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่) จะไม่ทึกทักเอาว่าตนเองป่วย ? แท้จริงนั้น โรคร้ายอันน่าละอายของเธอคือการที่เธอต่อต้านขัดขืนความตาย คือการที่เธอทำให้เกิดความลำบากยุ่งยาก
หากเป็นเช่นนั้น ทำไมเธอจึงไม่เขียนมันออกมาเล่า? จงเขียน ! การประพันธ์เป็นของเธอ เธอเป็นของเธอเอง ร่างกายของเธอเป็นของเธอ จงคว้ามันไว้ ฉันเข้าใจดีว่าทำไมเธอจึงไม่เขียน (และเพราะอะไรฉันเองไม่หยิบปากกาขึ้นมาก่อนอายุยี่สิบเจ็ดปี) เพราะว่าการประพันธ์เป็นทั้งเรื่องที่สูงส่งและเรื่องที่ยิ่งใหญ่เกินไปสำหรับเธอ การประพันธ์เป็นเรื่องของผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น หมายถึง “รัฐ-บุรุษ” นี่เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระทั้งเพ แท้จริงแล้ว เธอเองก็เคยขีดเขียนมาบ้าง อย่างลับๆ และนี่ไม่ได้เป็นเรื่องดีเลย แต่เพราะการเขียนของเธอเกิดขึ้นอย่างลับๆ และเพราะเธอลงโทษตัวเธอเองเพราะเธอเขียน เพราะเธอไม่ทำให้ถึงที่สุด หรือไม่ก็เพราะเธอห้ามตนเองไม่ให้เขียนไม่ได้ เหมือนกับที่เธอสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองอย่างลับๆ ไม่ใช่เพื่อจะไปให้ไกลกว่าเดิม แต่เพื่อลดทอนความตึงเครียดลง ให้มันลดลงบ้างเพื่อที่ว่าสิ่งที่ล้นเกินจะได้หยุดทรมานเธอ