บูโตหรือการเดินทาง "ระหว่าง" รอยต่อ


A Rose-Colored Dance
(Bara Iro Dansu) 1965
Hijikata Tatsumi and Ohno Kazuo
บูโต (Butoh) หรือระบำแห่งความมืด (Dance of Darkness) เป็นการ แสดงล้ำสมัยหรือ avant-garde ที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่น จัดแสดงต่อสาธารณชนครั้งแรกในปี 1959 โดยนักแสดงสองคนคือ Yoshito Ono และ Tatsumi Hijikata ภายใต้ชื่อการแสดง Kinjiki
การแสดงบุกเบิกครั้งนั้นได้สร้างความฮือฮาระคนเสียงประณามเนื่องจากฉากวาบหวามหลายฉาก อีกทั้งสไตล์การเต้นที่ท้าทายจารีตของนาฏศิลป์ จึงทำให้คุณลักษณะขบถ (provoking) อีโรติก รุนแรงและลึกลับกลายเป็นจิตวิญญาณของศิลปะการแสดงนี้


หลายคนมองว่าบูโตไม่ใช่“การเต้น” บางคนมองว่ามันเป็น“ละคร”ประเภทหนึ่ง บูโตผสมผสานองค์ประกอบหลากหลายที่มาจากนาฏศิลป์ญี่ปุ่น, Ausdrucktanz (German Expressionist Dance) และละครใบ้ มันจึงทำลายกฏเกณฑ์ของขนบการเต้นทั้งหลายอย่างสิ้นเชิง ในขณะเดียวกันก็เปิดพื้นที่ให้กับการด้น (improvisation)

เรามักจะรู้อย่าง“ง่ายๆ”ว่านี่คือบูโต เมื่อเห็นนักแสดงศรีษะโล้น ทาตัวสีขาว ประกอบกับการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าผ่านร่างกายที่บิดเบี้ยว

การแสดง “For 49 days exhibition”: Mind Journey Beyond Death ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เป็น“นิทรรศการร่วมสมัย”(A contemporary exhibition) ที่รวมการแสดงบูโตกับทัศนศิลป์ (วีดีทัศน์ แสงและเสียง) เข้าไว้ด้วยกัน แบ่งเป็นทั้งหมดสามตอนคือ 1) ชีวิตและความปรกติในปัจจุบัน (Life and Habitual in the present) 2) ความยึดติด เหตุแห่งทุกข์ (Life is a phenomena) 3) ความแกว่งไปมาไม่หยุดหย่อน ในสูจิบัตรของการแสดงระบุไว้ชัดเจนถึงแนวคิดที่ต้องการนำเสนอคือ “สัจธรรมเกี่ยวกับชีวิตและความตายภายใต้สภาวะ ‘บาร์โด’”

“บาร์โด”เป็นแนวคิดของพุทธศาสนาฝ่ายวัชรยาน หมายถึง “การเปลี่ยนผ่าน” คือ “ภาวะที่อยู่ระหว่างความตายและการเกิดใหม่... ชีวิตและความตายไม่อาจแยกออกจากกันได้ ความตายเป็นเพียงภาวะหนึ่งที่สืบต่อจากชีวิตเท่านั้น”

ห้องจัดการแสดงชั้น 4 ของอาคารหอศิลป์ที่ออกแบบให้เป็น”คอมเพล็กซ์”อันแสนอึดอัดนี้ ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนเมื่อมองจากที่นั่งคนดูคือ ส่วนด้านหน้าเป็นพื้นที่ของบูโต ส่วนด้านซ้ายเป็นพื้นที่ของแนวจอภาพและส่วนแสดงแสง และส่วนด้านขวาจะฉายภาพการแสดงสดอีกทีบนผนัง

กลุ่มนักแสดงปรากฎกายในเศษผ้าที่หลุดรุ่ย ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายขาวโพลนของพวกเขา พร้อมกับท่าทางต่างๆที่อยู่ระหว่างการเต้นและการหยุด ระหว่างการเคลื่อนไหวและการไม่เคลื่อนไหว ระหว่างการฝืนธรรมชาติและการกลายเป็นธรรมชาติ เราจะได้ยินเสียงกรีดร้อง เสียงงึมงำระคนเสียงหายใจเป็นจังหวะๆ ปากและตาที่เปิดกว้าง พร้อมจะดูดหรือคายทุกอย่างเข้า-ออก ปรากฎให้เห็นเป็นระยะผ่านแสงและเสียงที่ระทึกและรบกวนใจในเวลาเดียวกัน

ฉากต่างๆที่ปรากฏบนแนวจอภาพ ไม่ว่าจะเป็นภาพวีดีทัศน์หรือกราฟฟิก ถูกเรียงร้อยออกมาให้เป็นเหมือนภาพคาไลโดสโคป (kaleidoscope) ที่สะท้อนความวุ่นวายของชีวิตในทุกยุคทุกสมัย ซึ่งหมายถึงการสะท้อนความว่างเปล่าของการมีชีวิตอยู่ ที่สะท้อนผ่านลักษณะคลุมเครือของนักแสดงบูโตอีกทีหนึ่ง

แต่สิ่งที่ตรึงความสนใจของเรากลับไม่ใช่ ความอลังการของสื่อทัศนศิลป์ต่างๆ ที่ดูเหมือนจะมากเกินไปด้วยซ้ำในงานชุดนี้ (ซึ่งสะท้อนความฟุ้งเฟื้อของความพยายามหยิบยื่นการตีความให้กับคนดูแบบเบ็ดเสร็จและสำเร็จรูป) หากกลับเป็น”ความเงียบและการหยุดนิ่ง”ในช่วง“ระหว่าง”ต่างหาก

ระหว่างแสงสว่างกับความมืด ระหว่างความสวยงามกับความหยาบด้าน ระหว่างความประณีตกับความดิบ ระหว่างความเงียบกับเสียง ระหว่างสภาวะสัมผัสกับสภาวะ spiritual โดยผ่าน“ร่างกาย”ที่แตกหัก ไม่เป็นหนึ่งเดียวของนักแสดง... เราถูกเชิญเข้าสู่สภาวะแห่ง “พิธีกรรม” สภาวะซึ่งจิตสำนึกและไร้สำนึกเชื่อมต่อกัน สภาวะไม่แน่นอนที่ความไร้ระเบียบและไร้ความหมายของชีวิตถูกปลดปล่อยให้เผยตัวตน สภาวะที่เส้นแบ่งเขตต่างๆพร่ามัว เผยให้เห็นปริมณฑลที่ไร้ปริมณฑล ซึ่งก็คือปริมณฑล“ระหว่าง”ความตายและการมีอยู่

โกรโตสกี (Grotowski) นักทฤษฎีและนักการละครผู้ยิ่งใหญ่กล่าวถึงบูโตว่าเป็น “รูปแบบศิลปะโบราณที่พิธีกรรมและการสร้างสรรค์ทางศิลปะผสมผสานกันได้อย่างลงตัว เป็นพื้นที่ที่กวีนิพนธ์คือเพลง เพลงคือการขับร้องคาถา การเคลื่อนไหวคือการเต้น”

หลายคนบอกว่าสารัตถะของบูโตอยู่ที่กระบวนการที่นักแสดงหยุดเป็นตัวของเขาเองและกลายเป็นคนหรือสิ่งอื่น...

ณ ที่นี้ การเต้นหาใช่การนำเสนอ (represent) อีกต่อไปไม่ หากคือ“การกลายเป็น”สิ่งหรืออารมณ์นั้นๆ... สภาวะกระอักกระอ่วนใจที่อธิบายยากซึ่งเกิดขึ้นกับผู้ชมนั้น ได้ถูกกระตุ้นให้เกิดผ่านนโมทัศน์ “เปลี่ยนผ่าน”, ผ่านความดิบจากการไร้การฉาบเงาของท่วงท่า, ผ่านความจริงใจของอารมณ์ของร่างกาย, ผ่านการค้นหาพื้นที่ที่ไม่สามารถค้นพบได้... พื้่นที่นั้นอยู่ระหว่างความตายและการมีอยู่ ระหว่างการแสดงและการเป็นปกติ

ระบำแห่งความมืดนี้หยิบยื่นความสวยงามจากการสร้างสรรค์ ในขณะเดียวกันก็ยัดเยียดให้เราต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่น่าเกลียดน่ากลัว นั่นก็คือความวุ่นวายไร้ระเบียบไร้ความหมายของการมีชีวิต

การยอมรับ”ความตาย”ในฐานะเป็นเพียง”ภาวะหนึ่งที่สืบต่อจากชีวิตเท่านั้น” คือเนื้อหาของการแสดงนี้ที่ผู้จัดต้องการเสนอให้กับเรา... และอาจจะเป็นทางเดียวที่จะทำให้เราลืมตาตื่นขึ้นมาทุกวันได้อย่างสงบและเข้าใจ ?

“For 49 days exhibition”: Mind Journey Beyond Death จะจัดการแสดงอีกสองรอบวันที่ 26 และ 27 ธันวาคม 2552 เวลา 19.00 น. ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ชมการแสดงฟรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย www.bacc.or.th หรือ http://www.visalo.org/info/49Days.htm

บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกวันที่ 24 ธันวาคม 2552 ที่ "จุดประกาย" กรุงเทพธุรกิจ http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/star/20091224/92572/บูโต-การเดินทาง-ระหว่าง-รอยต่อ.html

No comments:

Post a Comment

Travel Writings on Indochina

I've been collecting a collection of travel writings on Indochina at the fin de siècle: Morice Docteur, 'Voyage en Cochinchine',...